การดูแลขณะถอด/หลังถอดท่อระบายทรวงอก
1. วิตกกังวลเกี่ยวกับการถอดท่อระบายทรวงอก เนื่องจากกลัวความเจ็บปวด
ข้อมูลสนับสนุน
- สีหน้าวิตกกังวล หน้านิ่วคิ้วขมวด
- ผู้ป่วยสอบถามถึงความเจ็บปวดขณะถอดท่อระบายทรวงอก
- ผู้ป่วยสอบถามถึงวิธีการปฏิบัติตนขณะนำท่อระบายทรวงอกออก
- ผู้ป่วยสอบถามถอดท่อระบายทรวงอกออกแล้วลมจะเข้าไปในปอดได้หรือไม่
จุดประสงค์
1. เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
2. เพื่อขอความร่วมมือในการปฏิบัติตัวขณะถอดท่อระบายทรวงอกออก
เกณฑ์การประเมินผล
1. ผู้ป่วยบอกความวิตกกังวลลดลง
2. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะนำขณะถอดท่อระบายทรวงอกได้ถูกต้อง
3. ผลการถ่ายภาพรังสีทรวงอกหลังถอดท่อระบายทรวงอกออกปกติ
กิจกรรมการพยาบาล
1. ประเมินสภาพความพร้อมของผู้ป่วยที่จะถอดท่อระบายทรวงอก ได้แก่
- หายใจสะดวก อัตราการหายใจไม่เกิน 24 ครั้ง/นาที การขยายตัวของทรวงอกเท่ากันทั้ง 2 ข้าง เสียงหายใจปกติ
- จำนวนสารน้ำออก < 50 cc./วัน
- ผลการถ่ายภาพรังสีทรวงอกปอดขยายดี
2. เตรียมตัวผู้ป่วยให้พร้อมสำหรับการถอดท่อระบายทรวงอก โดย
- อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าขณะนี้ปอดขยายตัวดีแล้ว แพทย์จะถอดท่อระบายทรวงอกให้ โดยจะดึงท่อยางออกขณะที่ผู้ป่วยกลั้นหายใจ ช่วงสุดของการหายใจออก
- ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึก ๆ อย่างเต็มที่ ภายหลังการหายใจออกให้กลั้นหายใจไว้สักครู่
3. ช่วยเหลือแพทย์ในการถอดท่อระบายทรวงอก โดยเตรียมของใช้ให้พร้อม เช่น Set ทำแผล, กรรไกรตัดไหม, Adhesive plaster, Artery clamp
4. ให้กำลังใจผู้ป่วยขณะแพทย์ถอดท่อระบายทรวงอกออก
5. ประเมินอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยหลังถอดท่อระบายทรวงอกออก เช่นอาการหายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก
6. สอนให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง หากมีแน่นอึดอัด หายใจลำบาก ปวดแผลมาก มีไข้ ให้แจ้งให้พยาบาลทราบทันที
7. หลังจากแพทย์ถอดท่อระบายทรวงอกแล้ว ส่งตรวจและติดตามผลการถ่ายภาพรังสีทรวงอก
2. เสียงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลที่ถอดท่อระบายทรวงอกเนื่องจากเป็นแผลเปิด/เนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บหลังถอดท่อระบายทรวงอก
ข้อมูลสนับสนุน
- อุณหภูมิร่างกาย > 38oC
- มีสารคัดหลั่งซึม/มีกลิ่นเหม็น หลังถอดท่อระบายทรวงอกออก
- ปวด บวม แดง ร้อน กดเจ็บแผลรอบ ๆ บริเวณที่ถอดท่อระบายทรวงอกออก
- ผลจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC WBC > 10,000 cell/cu.mm.
- ผู้ป่วยเจ็บแน่นหน้าอก, ไอมีเลือดปน
จุดประสงค์
1. ป้องกันการติดเชื้อแผลถอดท่อระบายทรวงอก แผลในช่องเยื่อหุ้มปอด
2. ส่งเสริมการหายของแผล
เกณฑ์การประเมินผล
1. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- อุณหภูมิร่างกาย 36.5oC – 37.4oC
- ชีพจร 60 – 100 ครั้ง/นาที
- การหายใจ 18 – 20 ครั้ง/นาที
- ความดันโลหิต 90/60 – 130/90 mmHg
2. แผลแห้งสะอาดตลอดระยะเวลาที่ใส่ท่อระบายทรวงอก
3. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC WBC 5,000 – 10,000 Cells/mm2
4. ผลการตรวจเพาะเชื้อสิ่งระบายจากรอบแผล/ท่อระบายทรวงอกอ ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์
กิจกรรมการพยาบาล
1. ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อบริเวณแผลถอดท่อระบายทรวงอก ได้แก่อาการแผลมีลักษณะ บวม แดง ร้อน ปวด แผลมีหนอง หรือสารคัดหลั่งมีสีผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น
2. วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการติดเชื้อ
1. ดูแลทำความสะอาดแผลโดยใช้เทคนิคสะอาด ปราศจากเชื้อ (Aseptic Technique) ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาล
2. สอนให้ผู้ป่วยระมัดระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำระหว่างทำความสะอาดร่างกาย หรือห้ามแกะเกาแผลหรือเปิดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
3. กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจอย่างถูกวิธี โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึก ๆ 3-5 ครั้งแล้วไอออกมาทุก 1-2 ชั่วโมง
4. ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
5. ติดตามประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, การเพาะเชื้อ(Culture)
3. วิตกกังวลเกี่ยวกับการดูแลหลังจากถอดท่อระบายทรวงอกออกขณะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและเมื่อกลับบ้าน
ข้อมูลสนับสนุน
1. ผู้ป่วยและญาติสอบถามว่าจะนอนพักรักษาในโรงพยาบาลกี่วันจึงจะกลับบ้านได้
2. ผู้ป่วยและญาติสอบถามถึงการหายของแผลหลังจากถอดท่อระบายทรวงอกออก
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติคลายความวิตกกังวล
เกณฑ์การประเมินผล
1. ผู้ป่วยและญาติบอกความวิตกกังวลลดลง หรือไม่มีความวิตกกังวล
2. สีหน้าผู้ป่วยคลานความกังวล
3. ไม่มีอาการและอาการแสดงของความวิตกกังวล เช่น อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ม่านตาขยาย ใจสั่น แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน กระสับกระส่าย เป็นต้น
4. สัญญาณชีพอยู่ในช่วงปกติ
- อุณหภูมิร่างกาย 36.5oC – 37.4oC
- ชีพจร 60 – 100 ครั้ง/นาที
- การหายใจ 18 – 20 ครั้ง/นาที
- ความดันโลหิต 90/60 – 130/90 mmHg
5. นอนหลับพักผ่อนได้
กิจกรรมการพยาบาล
1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีแก่ผู้ป่วยและญาติ รับฟังผู้ป่วยอย่างตั้งใจ ไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่ายรำคาญ กระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดถึงความวิตกกังวล ความคับข้องใจหรือปัญหาต่าง ๆ
2. ประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วยจากการเปลี่ยนแลงทางร่างกาย และสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก
3. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงพยาธิสภาพของโรคและแนวทางการรักษาพยาบาล
4. แนะนำการปฏิบัติตนและการดูแลตนเองเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน ได้แก่
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผัก และผลไม้
- การพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
- การออกกำลังกาย
- การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
- การมาตรวจตามนัด
- อาการผิดปกติที่ต้องรีบมาพบแพทย์ เช่น มีอาการไข้ แผลอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน เจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ไอมีเสมหะมากหรือมีเลือดปน
5. แนะนะญาติให้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย และประคับประคองด้านจิตใจเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น